วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2012



การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2012 เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกสี่ปีครั้งที่ 57 และมีขึ้นในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้ลงสมัครจากพรรคเดโมแครต กับรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน คู่ลงสมัคร ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง คู่แข่งคนสำคัญ คือ มิตต์ รอมนีย์ ผู้ลงสมัครจากพรรครีพับลิกันและอดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ และวุฒิสมาชิกพอล ไรอัน คู่ลงสมัคร จากรัฐวิสคอนซิน
ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาซึ่งวุฒิสมาชิกหนึ่งในสาม (33 ที่นั่ง) ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกสองปีเพื่อเลือกตั้งสมาชิกมายังสมัยประชุมสภาคองเกรสที่ 113 นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐสิบเอ็ดรัฐและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติในหลายรัฐพร้อมกันด้วย



Defense.gov photo essay 120528-D-BW835-540(2).jpgMitt Romney speaking close up cropped.jpg
ผู้แทนพรรคบารัก โอบามามิตต์ รอมนีย์
พรรคพรรคเดโมแครตพรรครีพับลิกัน
Home stateรัฐอิลลินอยส์รัฐแมสซาชูเซตส์
Running mateโจ ไบเดนพอล ไรอัน
Electoral vote332206
States carried26 + ดี.ซี.24
คะแนนนิยม61,681,462[1]58,488,199[1]
ร้อยละ50.6%[1]47.9%[1]

ElectoralCollege2012.svg
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
สีน้ำเงิน แสดงถึงรัฐหรือเขตที่โอบามา/ไบเดนชนะ
สีแดง แสดงถึงรัฐหรือเขตที่รอมนีย์/ไรอันชนะ
ตัวเลขหมายถึงจำนวนคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งซึ่งจะเป็นของผู้ชนะในเขตนั้น

5 เหตุผล ทำไม โอบามาชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี 2012 

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการ ชี้ชัดว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัยอย่างแน่นอน หลังได้คะแนนอิเล็กโทรัลโหวตถึง 303 คะแนน ขณะที่คู่แข่งอย่างมิตต์ รอมนีย์ ได้เพียง 206 คะแนน แต่ทำไมโอบามาจึงชนะมิตต์ รอมนีย์ ในการเลือกตั้งที่กล่าวกันว่ามีคะแนนสูสีที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสหรัฐฯ บรรดานักวิเคราะห์ และสื่อต่างประเทศวิเคราะห์ไว้ 5 เหตุผลดังนี้

นโยบาย
โอบามาและทีมหาเสียงของเขาต้องทำใจว่าจะได้คะแนนจากคนอเมริกันผิวขาวน้อยลงกว่าเดิมอย่างแน่นอน แต่นโยบายของเขาที่ยกเลิกการเนรเทศผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่เข้ามาในสหรัฐฯ ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ขณะที่ฝ่ายรอมนีย์ต่อต้านอย่างสิ้นเชิง ทำให้โอบามาได้คะแนนกลุ่มคนอายุน้อยมากขึ้น โดยจากเอ็กซิตโพลของซีเอ็นเอ็นชี้ว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา โอบามาได้คะแนนจากผู้ลงคะแนนที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปี ถึง 60% ส่วนรอมนีย์ได้เพียง 37%
นอกจากนี้ โอบามายังได้คะแนนจากกลุ่มคนรักร่วมเพศและสตรี จากนโยบายผลักดันการสมรสของคนเพศเดียวกัน ให้ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงนโยบายการทำแท้งเสรี โดยขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ ทำให้โอบามาได้คะแนนจากสตรี ซึ่งมีอัตราส่วน 53% ของผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมดถึง 55% ต่อ 44%


การเลือกตั้งล่วงหน้า
การเลือกตั้งล่วงหน้าในรัฐแบทเทิลกราวด์สเตท หรือรัฐที่มีการชิงชัยแข่งขันสูง เนื่องจากประชาชนยังไม่ตัดสินใจเรื่องฝ่ายใด ได้แก่ โอไฮโอ ฟลอริดา เวอร์จิเนีย วิสคอนซิล นิวแฮมเชียร์ ไอโอวา โคโลราโด และเนวาดา ซึ่งทั้งโอบามาและรอมนีย์ต่างพยายามหาเสียงในรัฐเหล่านี้เพื่อกระตุ้นให้คนไปใช้สิทธิ์ล่วงหน้าอย่างเต็มที่ แต่โอบามาเป็นฝ่ายที่ทำได้ดีกว่ามาก โดยเฉพาะในรัฐโอไฮโอ แม้จากรายงานการติดตามและการเลือกตั้งล่วงหน้าของพรรคเดโมเครตชี้ว่า เขาทำได้ไม่ดีเท่าเมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2008 ก็ตาม
ผลจากการทำได้ดีกว่าในการเลือกตั้งล่วงหน้า ทำให้โอบามาค่อนข้างได้เปรียบในการเลือกตั้งวันจริง เพราะผู้ที่ยังลังเลใจว่าจะเลือกรอมนีย์ดีหรือไม่ อาจเปลี่ยนใจไปเลือกโอบามาก็ได้ และผลที่ออกมา โอบามาก็ได้รับชัยชนะในรัฐแบทเทิลกราวด์สเตททุกรัฐ


ผลงานที่ผ่านมา
ผลงานในช่วง 4 ปีที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ยังไม่ถือว่าน่าประทับใจ เนื่องจากเขายังไม่สามารถทำนโยบายหลายอย่างให้สำเร็จได้ตามที่หาเสียงไว้เมื่อปี 2008 ทั้งการเพิ่มภาษีผู้มีรายได้สูง ปิดช่องโหว่ในกลไกเก็บภาษี และตัดลดงบประมาณทางทหารของประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุล
แต่ผลงานการออกกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพครั้งแรก นับแต่ยุคปี 1960 รวมถึงการสังหาร โอซามา บิน ลาเดน หัวหน้าใหญ่เครือข่ายก่อการร้ายอัลเคดาเมื่อปีก่อน รวมถึงการถอนทหารอเมริกันในอัฟกานิสถานกลับสู่มาตุภูมิ ก็เพียงพอต่อการทำให้ประชาชนยอมให้โอกาสเขาเป็นประธานาธิบดีต่อไปอีก 4 ปี เพื่อทำนโยบายที่หาเสียงไว้ให้เป็นจริง


เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดีอยู่
สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในขณะนี้ กำลังเผชิญทั้งการขาดดุลงบประมาณ และอัตราการว่างงานที่สูง แต่ยังไม่พอจะทำให้โอบามาเสียความนิยมจนหมดได้ โดยในช่วงที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกเมื่อ ม.ค. ปี 2009 มีผู้ตกงานในสหรัฐฯ ถึงเดือนละ 700,000 แต่โพลก็ระบุว่าประชาชนยังโทษ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช อดีตประธานาธิบดีก่อนโอบามา เป็นต้นเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ย่ำแย่
ขณะเดียวกัน ในช่วงก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่เดือน อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ กลับลดลงเรื่อยๆ จนเหลือ 7.9% ต่ำกว่าเพดาน 8% ตลาดหุ้นก็เริ่มกระเตื้องขึ้น รวมถึงอัตราการขยายตัวของราคาอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มลดลง ช่วยเสริมความมั่นใจแก่ผู้บริโภคได้พอดี

พายุแซนดี้
ความนิยมของโอบามา นำมิตต์ รอมนีย์ โดยมีความต่างมากมาโดยตลอด จนกระทั่งหลังการโต้อภิปรายครั้งแรกของทั้งสองคน เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ซึ่งทั้งสื่อ, นักวิจารณ์และนักวิเคราะห์ ต่างเห็นตรงกันว่า รอมนีย์ทำได้ดีกว่าโอบามามาก ทั้งในเรื่องการพูดตอบคำถามที่ฉะฉาน รุนแรง และเรื่องบุคลิกภาพ ส่วนโอบามาถูกวิจารณ์ว่าพูดเชิงวิชาการมากเกินไป ทำให้ฟังดูน่าเบื่อ ส่งผลให้คะแนนของรอมนีย์กระโดดประชิดโอบามาอย่างรวดเร็ว
คะแนนของมิตต์ รอมนีย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงหนึ่งของเดือนตุลาคม เขามีคะแนนผู้ที่จะเลือกเขาในวันเลือกตั้งแซงหน้าโอบามาเสียอีก แม้การโต้อภิปราย 2 ครั้งหลังสุด จะทำให้คะแนนของโอบามากระเตื้องขึ้นบ้าง แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงคือการมาถึงของซุปเปอร์สตอร์มแซนดี้ ซึ่งส่งผลกระทบกำหนดการหาเสียงของทั้งสองคน แต่โอบามาได้โอกาสแสดงภาวะความเป็นผู้นำในการรับมือภัยพิบัติครั้งนี้ ทำให้ประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกผู้สมัครคนใด เริ่มเอนเอียงไปทางโอบามา เห็นได้จากในช่วงหลัง โพลของหลายสำนัก ทั้งวอลล์สตรีท รอยเตอร์/อิบซอส ต่างให้โอบามามีคะแนนนำในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้

ที่มา 
http://th.wikipedia.org/wiki/การเลืิอกตั้งประธานาธบดีสหัฐอเมริกา ค.ศ.2012
http://www.thairath.co.th/content/oversea/304428